ตอบแทนให้กับ...ป่าผู้ให้...
กำนันไพบูลย์ จำหงษ์ ผู้นำหมู่บ้านทาป่าเปา กรรมการหมู่บ้าน และชาวบ้าน เล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านทาป่าเปาจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2420 เป็นชุมชนที่อยู่ในเขตป่าที่มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ตามแบบของป่าต้นน้ำโดยทั่วไป คือป่าเป็นตลาดของชุมชน เป็นแหล่งรวมของอาหารให้กับชุมชน ทั้งพืชผัก สมุนไพร สัตว์ป่า ของป่า มีลำห้วยหลายสาย ทั้งห้วยทรายขาว ห้วยกิ่วหมี ฯลฯ หล่อเลี้ยงชีวิตในป่าและคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยขาดสาย เป็นการพึ่งพาอาศัยกัน เอื้อประโยชน์ต่อกันอย่างมีความสมดุล พอดี และพอเพียง ระหว่างป่ากับคน และคนกับคน...
แต่เมื่อความเจริญและการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกชุมชนเพิ่มขึ้น การดำเนินชีวิตแบบพอเพียงและสมดุลระหว่างชุมชนกับป่าก็เปลี่ยนไป เมื่อมีการสร้างทางรถไฟหัวรถจักรไอน้ำผ่านเขตอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ความต้องการใช้ หลัวรถไฟ ในการเผาไหม้เป็นพลังงานสำหรับรถจักรไอน้ำ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ป่าไม้ถูกตัดทำลาย การเดินทางสะดวกสบายขึ้น จึงมีการขยายถิ่นฐาน และสร้างบ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น หลายชุมชนในพื้นที่อำเภอแม่ทายึดอาชีพทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ขายกันเป็นล่ำสัน ชาวบ้านทาป่าเปาก็นิยมเข้าป่าเลื่อยไม้เป็นแผ่นส่งขายให้กับช่างไม้ต่างบ้าน นอกจากนี้ คนบ้านทาป่าเปายังมีอาชีพหลักที่ทำรายได้ให้กับชุมชนในสมัยนั้นคือ การทำไร่อ้อยส่งให้กับโรงงานน้ำตาล อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปางซึ่งรายได้จากการทำไร่อ้อย หรือรับจ้างตัดอ้อย ทำให้ชาวบ้านเปลี่ยนฐานะความเป็นอยู่ จากบ้านที่เคยมุงหลังคาด้วยใบจากหรือสังกะสี ก็จะเปลี่ยนเป็น ดินขอ( กระเบื้องมุงหลังคาปั้นมือ ) เป็นค่านิยมกันว่าบ้านใดมุงหลังคาบ้านด้วยดินขอถือว่า มีฐานะการบุกรุก ถางป่า เพื่อทำไร่อ้อย ต้องขยายพื้นที่ป่าเข้าไปเรื่อยๆ เนื่องจากอ้อยจะให้ผลผลิตดีในพื้นที่เดิมเพียงสามปีเท่านั้น ใครมีกำลังมากเท่าใดก็ได้ผลตอบแทนมากเท่านั้น ไม่มีใครคิดได้... ไม่มีใครตระหนักรู้..ว่าการดำรงชีวิตอย่างพอดี...อย่างพอเพียง..ระหว่างคนต้นน้ำกับป่า...กำลังเลือนหายไป ไม่มีใครรู้สึกได้ว่า.. ถึงเวลาที่ป่าจะต้องได้รับการรักษา ฟื้นฟู ดูแล...จากคนต้นน้ำทาป่าเปา...เพราะทุกคนไม่เคยรู้สึกว่าป่าเป็นของพวกเขา แต่เข้าใจว่าป่าเป็นของกรมป่าไม้... เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาป่าไม้...
ภาพรวมของวิธีปฏิบัติที่ได้ผล
- การมีเศรษฐกิจแบบพอเพียง เป็นการปฏิบัติโดยทุกคน ควรนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
- เริ่มจากพื้นฐานความคิด การดำรงชีวิตในระดับพออยู่พอกิน แล้วพัฒนายกระดับขึ้นเป็นระดับเหลือกินเหลือใช้ จนกระทั่งสามารถทำการค้าขาย ที่เรียกว่าระดับมั่งมีศรีสุข ตามลำดับ
คำแนะนำ
- ควรปฏิบัติอย่างสอดคล้องสัมพันธ์กันทั้งระดับบุคคล ระดับครัวเรือน และระดับชุมชน
- ไม่ต้องปฏิบัติอย่างทั่วถึงและเคร่งครัด ปฏิบัติเพียงหนึ่งในสี่ของกลุ่ม / พื้นที่เป้าหมาย ก็สามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลได้
No comments:
Post a Comment